ผลพวงจากปัญหาวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศและจากภายนอกประเทศในปัจจุบัน กระทบต่อเนื่องไปถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และสังคม สุดท้ายปัญหาวิกฤติทั้งหมดก็กองสุมรวมอยู่ในระดับปัจเจกชนกันอย่างทุกถ้วนหน้า ยิ้มสยามที่เคยเปล่งปลั่งยั่งยืนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปวงชนชาวไทยค่อยเลือนรางจางหายกลายเป็นความเคร่งเครียดมึนตึงเข้าหากัน ครอบครัวเครือญาติที่เคยกลมเกลียวเหนียวแน่นก็กลับบาดหมางห่างเหินต่อกัน บรรยากาศของสังคมแห่งความสันติสุขของชาวพุทธผู้อยู่ในศีลในธรรมกลับเลือนลางจางหายกลายเป็นความขัดแย้งขุ่นมัว และทิศทางของปัญหายังดิ่งถลำลึกไม่มีทีท่าจะพลิกฟื้นกลับคืนมาสู่สภาพเดิมอย่างง่ายดาย
เสียงบ่นจากผู้คนส่วนใหญ่ถึงความทุกข์ ความผิดหวัง ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก บริษัทห้างร้าน ธุรกิจการงาน การค้าขายต่างจ่อคิวปิดกิจการเลิกจ้างคนงานกันอย่างต่อเนื่อง นักบริหาร นักธุรกิจ นักประดิษฐ์คิดค้น ที่เคยได้รับการยอมรับยกย่องให้ขึ้นหน้าปกวารสารว่าเป็นผู้ประสพความเสร็จในหน้าที่การงานนับวันจะหายากยิ่ง กลับมีแต่ข่าวคราวของผู้ประสพความล้มเหลวเข้ามาแทนที่ นี่เราจะปล่อยให้ล่องลอยเคว้งคว้างไปตามกระแสสังคมอีกยาวนานสักเพียงใด
ข้าพเจ้าเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยถูกคลื่นวิกฤติโถมซัดพัดพาจนหาทิศทางเข้าฝั่งแทบไม่เจอ ซึ่งไม่ต่างจากคนอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ไปได้ ไม่ถูกโดยตรงก็เจอโดยอ้อม ไม่โดนเต็ม ๆ ก็โดนเฉียด ๆ ไม่โดนลูกแรกก็โดนลูกหลัง หันมองไปรอบกายก็มีแต่ผู้คนล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายไม่ต่างจากสภาพการณ์ที่คลื่นสึนามิพึ่งเคลื่อนผ่านเมื่อไม่นานนี่เอง
หลังจากที่พยามยามลุกขึ้นต่อสู้ด้วยความดื้อรั้นดันทุรัง สู้แล้วแพ้ สู้แล้วล้ม สู้แล้วผิดหวังซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่าจนอ่อนระโหยโรยแรงหน้าแห้งใจเหี่ยว ความดันทุรังจึงค่อยดับลดหดหายผ่อนคลายการบีบคั้นใจกายให้สงบลง เมื่อกายใจเริ่มสงบเป็นอิสระสติสัมปชัญญะก็เริ่มผุดขึ้นมาแทนที่ ถ้าจะดันทุรังสู้อย่างนี้ต่อไปคงมีแต่ทางตายกับไม่รอด เมื่อสติมาปัญญาจึงเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า ทางรอดแต่ไม่ตาย นั้นมีไหม? หนทางที่สู้แล้วชนะนั้นมีไหม? เส้นทางสู่การประสพความสำเร็จนั้นอยู่ที่ใด ถ้ามีจะค้นหาต้นทางนั้นได้อย่างไร?
หลังจากครุ่นคิดค้นหาอยู่หลายตะหลบ ความทรงจำจุดประกายแวบหวนคิดถึงหนังสือเก่าเก็บอันทรงคุณค่าที่เคยอ่านแล้วยกตั้งไว้เหนือหิ้งเมื่อหลายสิบก่อน และแล้ว!..! สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะดลจิตดลใจให้รำลึกนึกถึง ข้าพเจ้ารีบไปค้นหาหนังสือดังกล่าว ได้พบจริงๆ แม้ว่าสภาพอาจจะเก่าจนมีร่องรอยการกัดแทะของมดปลวกอยู่บ้างในบางส่วน แต่เนื้อหาโดยรวมครบถ้วนสมบูรณ์ดี เล่มแรกคือศิลปเคล็ดลับในการเป็นมหาบุรุษ เขียนโดย วิเทศกรณีย์ และอีกเล่มคือ ชีวิตคือการต่อสู้ โดยผู้เขียนคนเดียวกัน เป็นหนังสือที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2509 และครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2511 ซึ่งนับย้อนหลังไปได้สี่สิบกว่าปี
วิเทศกรณีย์คือนามปากกาของหลวงวิจิตรวาทการ นักการทูต นักเขียนนามอุโฆษอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนยุคนั้นที่ต่างชาติให้การยอมรับ ที่สำคัญยิ่ง หลวงวิจิตรวาทการเป็นนักเขียนทางจิตวิทยาประเภทปลุกใจได้ดีมาก และที่สำคัญกว่านั้น ท่านเป็นนักต่อสู้ที่แท้จริง ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ท่านได้เขียนประวัติไว้ตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าเกิดบนแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อรู้ความ เห็นบิดามารดาของข้าพเจ้ามีเรือพายม้าลำหนึ่ง แม่แจวหัว และพ่อแจวท้าย พวกข้าพเจ้าเป็นพวกมีลูกมาก แม่ของข้าพเจ้ามีลูกถึง 8 คน
“แม่ของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตั้งแต่ตัวข้าพเจ้ายังเล็ก ข้าพเจ้าเริ่มลำดับความต่างๆ ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จำได้ว่าพ่อเคยเขียน ก. ข. ใส่กระดานชนวนไว้ให้ในเวลากลางคืน และพอ 4 นาฬิกา ก็ต้องแจวเรือไปค้าขายสองคนกับแม่ เวลานอนก็นอนกับย่า ซึ่งเป็นคนจดจำนิยายต่างๆ ไว้ได้มาก และเล่าให้ฟังเสมอ จนกระทั่งเรื่องสังข์ทอง เรื่องรามเกียรติ์ เรื่องอิเหนา เรื่องพระอภัยมณี และเรื่องขุนช้างขุนแผนเหล่านี้ อยู่ในสมองของข้าพเจ้าหมดก่อนที่จะลงมืออ่านได้เอง เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้เข้าโรงเรียนวัดขวิด ตำบลสะแกกรัง สอบไล่ได้ชั้นประโยคประถม พ่อแม่ไม่มีทุนจะให้เข้าศึกษาต่อไป จึงเปลี่ยนวิธีใหม่ ได้เข้าศึกษาในทางธรรมอยู่ในวัดมหาธาตุตั้งแต่อายุ 13 ขวบ จนถึงอายุ 20 ปี สอบไล่ได้เปรียญ 5 ประโยค จึงออกจากวัด”
และจากบันทึกประวัติการทำงานของหลวงวิจิตรวาทการตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของหลวงวิจิตรวาทการ เป็นชีวิตของผู้มีวิริยะมานะกล้าในการทำความดี ได้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งความเจริญ ชีวิตของท่านได้ดำเนินมาหลายบทบาท เริ่มจากการเป็นนักธรรม เป็นข้าราชการ นักการเมือง นักการทูต เป็นครู – อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นนักประพันธ์ เป็นนักปราชญ์ จากสามเณรเปรียญ 5 ประโยค ท่านได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2504 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการทูต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปีเดียวกัน และปริญญาบัตรอักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2505”
แสดงว่า แนวทางการต่อสู้และเคล็ดลับความสำเร็จที่หลวงวิจิตรวาทการ โดยใช้นามปากกาว่า วิเทศกรณีย์ ได้นำมาถ่ายทอดไว้ในหนังสือทั้งสองเล่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ตรงที่ท่านได้ใช้เป็นแนวทางในการต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จมาแล้ว ไม่ได้รวบรวมเรียบเรียงจากหลักคิดวิธีการของผู้อื่นมาเพียงอย่างเดียว หลักปรัชญาแนวคิด ประสบการณ์ตรงในชีวิตจริงของหลวงวิจิตรวาทการผู้เคยพิชิตปัญหาสารพัดมาแล้วนั้นยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นได้เป็นทวีคูณ
ใส่ความเห็น